ร่างเปลือยเปล่าที่กองอยู่บนพื้นค่อยๆกัดฟันยัดกายลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุกลักทุเล
เหลือบสายตาหันมองไปที่ประตูที่ถูกกระแทกปิดไปเมื่อไม่นาน
ก็นึกสมเพชตัวเองที่อ่อนแอเกินจะขัดขืนร่างสูงที่เพิ่งจากไป
มือบางกดล๊อกลูกบิดประตูอีกครั้งเพื่อความมั่นใจก่อนจะก้าวพากายบางเข้าไปในห้องน้ำ
“...ฮึกก..”เสียงสะอื้นน้อยๆดังขึ้นในลำคอเมื่อได้เห็นเงาสะท้อนของตนในกระจกหน้าอ่างล้างมือ
ร่องรอยสีเข้มปรากฏไปทั่วแผ่นอกขาวเนียน จ้ำช้ำๆตามลาดไหล่
รอยถลอกที่เกิดจากแรงจิกที่ท่อนแขนประปรายไปทั่ว มือบางไล้แตะตามบาดแผลเบาๆ
นึกถึงเหตุการณ์โหดร้ายป่าเถื่อนเมื่อครู่ก็ยิ่งร้องไห้หนัก
เจ็บทั้งตัว...
...เจ็บทั้งใจ
ทำไม..คนที่ได้ชื่อว่า ‘เพื่อน’ ถึงทำร้ายกันมากขนาดนี้
สายตาเหลือบมองไปเห็นใบมีดโกนที่วางเรียงอยู่บนชั้นวางของใกล้ๆ
ฮยอกแจก็จินตนาการคิดไปไกลถึงเหตุการณ์บ้าๆที่มักเคยเห็นในละครโทรทัศน์ ภาพข้อมือที่อาบไปด้วยหยดเลือดสีสด
ลมหายใจรวยระรินบ่งบอกถึงความทรมาณของบุคคลที่ต้องการปลิดชีวิตตัวเอง
อาจเป็นเพราะฮยอกแจปล่อยให้อารมณ์เข้าควบคุมมากกว่าเหตุผล
มือบางเอื้อมไปหยิบใบมีดโกนที่ชั้นอย่างเผลอตัว จรดปลายคมเข้าที่ข้อมือขาวซีด
ความอึดอัดและความหวาดกลัวตีกันจนสับสน เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น
ออกแรงกดน้อยๆให้คมมีดแทรกเข้าไปในเนื้อ
‘ไร้สาระ’
‘เคร้งงง’
ฮยอกแจสะบัดหัวไล่ความคิดโง่เง่าพร้อมโยนใบมีดโกนในมือทิ้งเมื่อสติกลับคืนมา
มือบางรีบเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างรอยแผลเล็กๆที่เกิดจากคมมีดเพื่อฆ่าเชื้อ
ฮยอกแจมองข้อมือของตนที่มีหยดเลือดเล็กไหลไปตามน้ำนิ่งๆ
นึกโทษตัวเองที่คิดบ้าบอไร้สาระ ยอมทิ้งชีวิตให้กับคนคนเดียวที่ไม่ได้เห็นค่าอะไรตัวเองเลยสักนิด
‘ถึงตาย ทงเฮก็คงไม่เสียเวลามาสนใจหรอก’
ร่างเล็กค่อยๆก้าวลงไปนั่งในอ่างแล้วเปิดน้ำอุ่นเพื่อล้างคราบไคลสกปรกบนกาย
คราบน้ำรักขาวขุ่นปะปนกับสีแดงจางๆที่ยาวเป็นทางตามเรียวขา
เครื่องหมายยืนยันว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้เป็นเพียงความฝันหรือภาพจินตนาการ
มือเล็กลูบไล้ลำตัวช้าๆ
กัดฟันทนความเจ็บที่แล่นปราดไปทั่วร่างเพื่อทำความสะอาดช่องทางแคบด้านหลังที่คาดว่าคงมีบาดแผลฉีกขาดอยู่
“อึกก..”นิ้วเรียวสอดเข้าไปด้านในเพื่อกวาดเอาคราบธารสีขุ่นของเพื่อนรักที่คั่งค้างในกายออก
หยาดน้ำตาใสๆไหลปริ่มแทรกผ่านเปลือกตาที่ปิดสนิท
ฟันคมกัดเรียวปากล่างแน่นระบายความปวดร้าวที่จำเป็นต้องฝืนทน
“อ่ะ..”เสียงแผ่วในลำคอดังขึ้นแผ่วๆเมื่อนิ้วเรียวถูกถอดถอน
ร่างเล็กเอนกายพิงกับขอบอ่างทิ้งความคิดดำดิ่งกับความทรงจำเลวร้ายนานาที่ได้ประสบ
คิดทบทวนเหตุผลที่ตนต้องยอมให้ทงเฮเข้ามามีสิทธิในชีวิตเขา ควบคุมเขาได้มากขนาดนี้
เพียงเพราะคำว่ารักแน่หรือที่ทำให้เขาต้องยอม ต้องตกเป็นเบี้ยล่าง
เพียงเพราะความผูกพันที่สั่งสมเท่านั้นน่ะหรือที่ทำให้เขาต้องยอมถูกกดขี่ ด่าทอ
ดูถูก สารพัด
ถ้าหากไม่มีคำว่า ‘รัก’ ..
ฮยอกแจจะเลิกยอมทงเฮแบบนี้ไหมนะ?
ถ้าหากว่าเขาลองมองหาคนใหม่ เส้นทางใหม่..
..ลองเปิดใจให้กับซีวอนหรือคยูฮยอน มันจะดีกว่ามั้ยนะ?
ความอุ่นร้อนของน้ำทำให้ร่างกายผ่อนคลายจนเคลิบเคลิ้ม
ดวงตาสีนิลค่อยๆหลับลงเชื่องช้า ปล่อยให้ธรรมชาติพาร่างกายพักผ่อนอย่างที่ต้องการ
มือบางทั้งสองทิ้งลงข้างกาย ปล่อยวางความคิดไร้สาระ
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบนิ่ง ...
“ฮยอกแจ..”เสียงหวานของเพื่อนสนิทปลุกให้ร่างที่นอนขดอยู่บนเตียงค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้าที่เกาะกุมไปทั่วร่างกาย
“วันนี้มีสอบตอนสิบโมงไม่ใช่เหรอ
ตื่นได้แล้ว”ซองมินในชุดนักศึกษาเอ่ยบอกเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
มืออวบเลื่อนไปกลุ่มผมสีอ่อนของร่างบางเบาๆ
วันนั้นที่เขากลับหอมาและเห็นกองเสื้อผ้าของฮยอกแจที่อยู่หน้าประตูพร้อมกับคราบน้ำขุ่นๆที่เลอะเปรอะบนพื้น
สภาพร่างกายฮยอกแจที่เดินออกจากห้องน้ำท่าทางอิดโรย
ร่องรอยจ้ำช้ำตามร่างกายที่ร่างบางพยายามใช้มือปิดซ่อนเอาไว้
มันชี้ชัดได้ว่าใครที่เป็นคนบุกรุกเข้ามาในห้องนี้
ถึงซองมินจะไม่ได้สนิทมีเรื่องพูดคุยกับทงเฮมากเท่าไร
แต่ใช่ว่าเพื่อนสนิทอย่างเขาจะไม่รู้ว่าทงเฮเป็นคนประเภทไหน รวมถึงเรื่องความรู้สึกเกินคำว่าเพื่อนที่ฮยอกแจมี
เขารู้เห็นทุกอย่างเพียงแต่ไม่พูดเพราะรู้ว่าการยื่นมือเข้าไปแทรกระหว่างความสัมพันธ์ของบุคคลทั้งสองอาจจะทำให้มิตรภาพที่มีขาดสะบั้นลงได้
เขาบอกได้เลยว่าเขาสงสารฮยอกแจจับใจที่ต้องมาทนรับอะไรที่โหดร้ายแบบนี้
เขาเห็นภาพพวกนั้นตลอดเวลา ทั้งคำด่าทอต่อว่าดูถูกเหยียดหยามต่างๆที่ ‘เพื่อนสนิท’ ไม่ควรจะมี
ภาพที่ฮยอกแจต้องนั่งร้องไห้เงียบๆเวลาที่ทงเฮออกไปเที่ยวกลางคืนแล้วมีเรื่องมีปัญหา
หลายครั้งที่เขาพยายามพูดกับฮยอกแจให้ตัดใจ และพยายามหาใครใหม่ๆเข้ามาในชีวิต
แต่คำปฏิเสธแบบเดิมทุกครั้งก็ทำให้เขาตัดใจที่จะเกลี้ยกล่อม
หมดปัญญาจะหาทางช่วย
เพราะไม่รู้ว่าทำไม...ฮยอกแจถึงรักทงเฮมากมายขนาดนี้
“อื้ออ”ฮยอกแจพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
นึกถึงตารางเวลาของวันรวมถึงเรื่องแย่ๆที่คอยย้อนเข้ามาในห้วงความคิดตอกย้ำให้เขาเสียน้ำตาอยู่เสมอ
ตั้งแต่วันนั้นมาฮยอกแจก็ไม่ออกจากหอซองมินไปไหน
ทั้งสายโทรศัพท์ข้อความที่ถูกส่งเข้ามาส่วนใหญ่ก็เป็นคำถามปนด่าทอจากปลายสายคนเดิม
เขาต้องคอยตอบเลี่ยงอ้างเหตุผลนู่นนี่ว่าไม่สบาย ไม่ว่าง
ติดธุระนานาเพื่อที่จะเลี่ยงการออกไปพบหน้ากับทงเฮ และทุกครั้งที่เขาปฏิเสธ คำด่าทอหยาบคาย
และคำพูดที่คอยตอกย้ำความเป็นเจ้าของก็ถูกเตือนให้เขาต้องนั่งร้องไห้เงียบๆหลังจากปลายสายถูกตัด
ไม่รัก..ก็หวง
เพราะกลัวว่าของเล่น...จะไปเป็นของคนอื่น
ฮยอกแจเดินทอดน่องเข้าไปในมหาลัยเชื่องช้า
เพราะเหลือเวลากว่าครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาสอบ
ร่างบางนึกขอบคุณลมเย็นๆที่ช่วยเป็นเหตุผลให้ผ้าพันคอผืนใหญ่ดูไม่เป็นที่น่าสงสัย
“วันนี้อากาศหนาวขนาดนั้นเลยเหรอครับพี่”ร่างสูงโปร่งของรุ่นน้องที่วิ่งเข้ามาหาเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้มกว้าง
มือหนาแย่งหนังสือเล่มโตสองเล่มในมือบางมาถือเพื่อแสดงความเคารพ
“อืม.. ก็พี่ไม่ชอบอากาศหนาวนี่
ใครจะไปทนหนาวทนร้อนได้เหมือนคยูฮยอนล่ะ”ฮยอกแจเหน็บแนมพร้อมอมยิ้มน้อยๆ
อย่างน้อยในวันที่คิดว่าแย่ที่สุดก็ยังมีคนทำให้เขายิ้มออกได้บ้างล่ะนะ
“ก็ใครให้พี่ตัวแห้งแบบนี้ล่ะ ลมพัดทีเดี๋ยวปลิวไปติดหลังคาบ้านใครจะแย่
ฮ่ะๆๆ”คยูฮยอนเอ่ยพลางกลั้วหัวเราะตามคนอารมณ์ขัน
ดีใจที่ได้เห็นหน้ารุ่นพี่คนน่ารักที่ตัวเองแอบชอบหลังจากที่ไม่ได้เห็นมาร่วมอาทิตย์
แล้วก็ต้องขอบคุณรุ่นพี่ซองมินอีกยกใหญ่ที่ยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นรวมทั้งยังให้ตารางสอบของรุ่นพี่ฮยอกแจมาอีกแผ่น
“ช่วงนี้ว่างมากรึไง เห็นปกตินานๆทีถึงจะมาทัก”
“ฮ่ะๆ ก็คงอย่างนั้นล่ะครับ
พอดีเห็นไก่แจ้เดินมาคนเดียวกลัวว่าจะเหงาร้องไห้ไปไล่จิกคนอื่นน่ะครับ”คำแซวของคยูฮยอนทำให้ทั้งสองต่างหัวเราะร่า
บทสนทนาสบายๆหยอกล้อหยอดแซวกันไปมาทำให้ฮยอกแจยิ้มได้ตลอดทางเดิน
ร่างเล็กอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมคำถามไถ่จากซองมินที่เป็นเพื่อนสนิทซึ่งเป็นคำถามเดียวกันกับคยูฮยอนถึงไม่สามารถทำให้เขายิ้มได้มากขนาดนี้
เป็นเพราะลักษณะการพูด หรือเป็นเพราะ ‘คยูฮยอน’ กันนะ
“นี่ เอาหนังสือชั้นมาได้แล้ว จะถึงตึกชั้นอยู่แล้ว”ฮยอกแจว่าพลางแบมือขอหนังสือจากร่างโปร่งคืน
“รุ่นพี่ครับ”คยูฮยอนเรียกร่างตรงหน้าเสียงเข้ม มองใบหน้าหวานสีหน้าจริงจัง
ทำให้ฮยอกแจขมวดคิ้วมองกลับอย่างไม่เข้าใจกับท่าที่ที่เปลี่ยนไปของคนตรงหน้า
“ผมรอพี่เสมอนะครับ..”คยูฮยอนเอ่ยบอกพร้อมยื่นหนังสือให้คนตัวเล็ก
“อื้ม..”ฮยอกแจพยักหน้ารับน้อยๆ พร้อมอมยิ้มเจื่อนๆ
ฮยอกแจไม่ได้รู้สึกไม่ดีที่คยูฮยอนแสดงออกชัดเจนว่าชอบเขา
รวมถึงไม่ได้อึดอัดที่มีคยูฮยอนวนเวียนคอยมองเขาอยู่ห่างๆ
แต่เขากำลังรู้สึกแปลกใจที่ตัวเขาไม่ได้คัดค้านในใจหรือคิดถึงทงเฮเหมือนทุกครั้ง
“ผมรู้นะ ว่าพี่กับพี่ทงเฮมีเรื่องกัน.. ถ้าหากว่าพี่ไม่สบายใจ..
พี่บอกผมได้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกคยูฮยอน.. มันไร้สาระนะ พี่ไปสอบก่อนดีกว่า
เดี๋ยวสาย”ฮยอกแจว่าพลางหันเดินหนี แต่มือหนาก็รั้งไหล่บางเอาไว้
“พี่ครับ.. ถ้าพี่อึดอัดอยากหาที่พักหรือที่เที่ยวตอนปิดเทอม
ไปบ้านพักตากอากาศของครอบครัวผมได้นะครับ”คยูฮยอนเอ่ยบอกก่อนละมือออกจากไหล่ของผู้เป็นรุ่นพี่
“อื้ม.. ไว้พี่คุยกับพ่อแม่แล้วจะบอกนะ ^^”ฮยอกแจพยักหน้ารับพร้อมยิ้มบางๆ
คยูฮยอนจัดผ้าพันคอผืนหนาให้ขึ้นมาปกปิดรอยจางๆที่โผล่พ้นออกมาให้เห็น
“พี่ดูแลตัวเองด้วยนะครับ อย่าขี้แยบ่อยนะ”
“อื้ม”ยิ้มรับพร้อมมือเรียวโบกลาร่างโปร่ง
ก่อนที่ร่างเล็กจะรีบวิ่งขึ้นตึกคณะไป
ทิ้งให้รุ่นน้องหน้าหล่อยืนอมยิ้มมองตามไปอย่างมีความหวัง
ผมกำลังหวังสูงไปรึเปล่าครับ พี่ฮยอกแจ?
แม้ผมจะไม่ได้เป็นคนรัก.. แค่เป็นคนที่พี่ยอมเปิดใจคุยด้วย ผมก็ดีใจแล้ว
“ทงเฮคะ
ทำไมช่วงนี้ทงเฮไม่ค่อยว่างเลย”สาวสวยดาวมหาลัยเอ่ยถามอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าคนรักไม่ยอมใส่ใจเธอที่อยู่นั่งข้างกาย
เอาแต่กดโทรศัพท์กระหน่ำส่งข้อความหาใครสักคนไม่หยุดตั้งแต่ช่วงเช้า พอถามว่าส่งหาใครก็เอาแต่ตอบปัดว่าเพื่อน
เธอแย่งโทรศัพท์มาดูได้ก็ไม่เห็นเมมชื่อไว้
ภาษาในข้อความที่ส่งไปก็ดูหยาบคายเกินที่เธอจะคิดมากว่าทงเฮมีผู้หญิงอื่น
“ผมเปล่าไม่ว่างนะครับพี่ฮีบิน
แต่ผมมีปัญหาส่งโปรเจคกับเพื่อนที่คณะน่ะครับ”ทงเฮแก้ตัวพลางเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้
ฮีบินมองภาพคนรักแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ต่อให้ใจเย็นแค่ไหน
ถ้าจะไม่ใช่ความสำคัญกันแบบนี้ มันก็อดจะโกรธไม่ได้
“ทงเฮพูดแบบนี้มาหลายรอบแล้วนะคะ งานงานงาน
แล้วทำไมต้องท่าปิดบังมีความลับกันแบบนั้นด้วย มีอะไรที่ไม่ได้บอกพี่เหรอ”
“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้มีความลับอะไร มันก็แค่เรื่องไร้สาระ
พี่อย่าหาเรื่องผมสิ”
“หาเรื่อง? อะไรที่แปลว่าพี่หาเรื่องน่ะ?
อารมณ์เสียจากเรื่องอื่นแล้วเอามาลงกับพี่เนี้ยนะลีทงเฮ”หญิงสาวตอบกลับเสียงดังด้วยความไม่พอใจ
“พี่อย่าขึ้นเสียงได้มั้ยล่ะครับ นี่มันงานนะครับ
พี่เข้าใจผมบ้างสิ”ทงเฮตอบกลับด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน
บรรยากาศความหงุดหงิดเริ่มปะทุ เมื่อคนอารมณ์ร้อนสองคนยังคงเถียงกันไม่หยุด
ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร คนใจร้อนที่มักเอาชนะคนอ่อนแออย่างฮยอกแจเสมอ
เมื่อมาเจอคนที่ไม่ยอมแพ้ก็ยิ่งโกรธจัด
“ทงเฮงี่เง่า!”หญิงสาวว่าพลางหยิบหนังสือเรียนและแฟ้มเอกสารลุกขึ้นยืน
“พี่จะไปไหนน่ะ!”ทงเฮกล่าวพร้อมคว้าข้อมือคนรักเอาไว้
ใบหน้าหล่อคมบึ้งตึงเพราะอารมณ์โกรธที่ครอบงำ เขาไม่ชอบให้ใครมาขัดใจ
เพราะมันจะยิ่งทำให้เขาโมโหจนคุมสติไม่อยู่
“ก็ไปไกลๆทงเฮไงล่ะ ยิ่งเถียงยิ่งไร้สาระ ไม่อยากยุ่งด้วย”หญิงสาวตอบพร้อมสะบัดมือทิ้ง
“ผมไม่ให้ไป”
“พี่จะไป นายมีสิทธิอะไรมาสั่งพี่”
“ก็ผมเป็นแฟนพี่ไง!!!”
“ทงเฮ พี่ไม่ใช่ฮยอกแจนะ! อย่ามาทำเหมือนพี่เป็นคนที่ต้องทำอะไรตามคำสั่งนายแบบหมอนั่น
ปล่อย!”หญิงสาวตวาดลั่นพร้อมดันอกร่างสูงให้ถอยห่าง ก่อนจะรีบเดินจ้ำหนีไปอย่างหงุดหงิด
ทิ้งให้ทงเฮที่กำลังหัวเสียมองตามไปอย่างไม่ชอบใจนัก
“โธ่เว้ย!! เพราะมึงคนเดียวเลยฮยอกแจ”ร่างสูงพึมพำกล่าวโทษบุคคลที่ไม่รู้เรื่องอย่างเกรี้ยวกราด
มือหนาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากระหน่ำกดโทรหาปลายสายที่ต้องการพบเจอ
สัญญาณโทรศัพท์ที่ดังแต่ไม่มีทีท่าว่าปลายสายจะกดรับทำให้ทงเฮสบถคำหยาบออกมาโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง
“ยอบอเซโย”ปลายสายตอบรับเสียงเอื่อย
“ทำไมมึงรับสายกูช้า”
“กูเพิ่งสอบเสร็จ”
“ออกมาหากูที่หน้าตึกอักษรหน่อย”
“กูไม่ใช่ทาสมึง ทำไมกูต้องฟัง”ฮยอกแจตอบกลับเสียงขุ่น
“แต่มึงเป็นเมียกู”
“.....”
“จะมาไม่มา”
“...อืม..ก็ได้”
เป็นอีกครั้งที่ฮยอกแจขัดใจทงเฮไม่ได้
แค่ฟังน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดของปลายสายคนตัวเล็กก็ไม่กล้าต่อรองเถียงอะไรตามเคย
เพราะกลัวว่าทงเฮจะโกรธจัดแล้วไประบายกับคนอื่น
กลัวว่าทงเฮจะไปทำร้ายใครจนเกิดปัญหา รวมทั้งกลัวว่า...เหตุการณ์แบบวันนั้นจะย้อนกลับมาอีกครั้ง
“มีอะไรกับกู”ฮยอกแจเอ่ยถามร่างสูงที่ยืนรอด้วยสายตาเรียบนิ่งเย็นชา
ร่างบางเลือกที่จะสบตาร่างตรงหน้าตรงๆ แม้ว่าความจริงแล้วเขาไม่อยากทำมันเลยสักนิด
“ใส่ผ้าพันคอมา..? รอยที่กูทำยังไม่หาย?”เอ่ยถามพร้อมเลื่อนมือไปดึงผ้าพันคอผืนหนาออกจากลำคอขาวเนียน
ร่องรอยช้ำที่เริ่มจางลงทำให้ทงเฮยกยิ้มมุมปาก
“เรื่องของกู
อย่าเสือก”ฮยอกแจว่าพร้อมจัดผ้าพันคอให้เข้าที่
“ทำไมไม่มามหาลัย?
กูจำได้ว่าวันนั้นกูสั่งห้ามมึงหลบหน้ากูนะ”
“แล้ว..?”ฮยอกแจเลิกคิ้วมองใบหน้าหล่อของร่างตรงข้าม
“โดนกูทำไปวันนั้นหมดแรง
หรือว่าให้ใครไปโอ๋มึงที่หอนั่นล่ะ”
“กูไม่ได้อยากขนาดนั้น อย่ามาดูถูก”
“อ้ออ.. แบบนี้เรียกว่าดูถูก? กูพูดถูกมากกว่ารึเปล่า?”
“สัด .. เลิกพูดแบบนี้กับกูสักที มึงมีสิทธิอะไรมาย่ำยีกูแบบนี้
มึงไม่ใช่เจ้าชีวิตกูนะ”ฮยอกแจกดเสียงต่ำ
มือเรียวกำเข้าหากันแน่นระบายความอัดอั้นที่ก่อตัว
“กูไม่ใช่เจ้าชีวิต แต่กูก็เป็นเจ้าของมึงไม่ใช่เหรอ”
“มึงได้กูแค่ตัวนั่นแหละ.. กูจะไม่มีทางให้หัวใจกูอีกแล้ว”
“มึงแน่ใจเหรอว่าที่มึงพูด มึงทำได้น่ะ?”
“เออ”
“อยากให้กูจูบมึงโชว์คนทั้งมหาลัยมั้ย?”ร่างสูงขู่เสียงเข้ม
มือหนาเลื่อนขึ้นไปบีบปลายคางมนเอาไว้
“มึง.. อย่าทำอะไรบ้าๆ”
“มึงกลัว?”
“กูไม่อยากให้คนอื่นเข้าใจกูผิด”
“หึ เข้าใจผิด?
คนเขาคงจะรู้กันหมดแล้วล่ะว่ามึงคิดยังไงกับกู มึงลองตอบกูมาสิ
ว่ามึงน่ะเกลียดกูได้จริงๆน่ะเหรอ”ทงเฮว่าพร้อมยื่นหน้าเข้าไปใกล้
สายตาคมจดจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีนิลนิ่ง ฝ่ามือออกแรงบีบหนักจนร่างเล็กนิ่วหน้า
“กู..เกลียด..มึง”
“มึงหลอกตัวเอง ฮยอกแจ ถ้ามึงเกลียดกู..
มึงไม่มีทางมาหากูวันนี้หรอก”ทงเฮกระตุกยิ้ม คลายฝ่ามือที่บีบคางมนออกเปลี่ยนเป็นลากหลังมือไปตามโครงหน้าหวาน
“ไอ้เหี้ย!”ฮยอกแจสะบัดหน้าหนีพร้อมดันร่างสูงออกห่าง
รังเกียจ...
สัมผัสหยาบโลนไร้ความอบอุ่น
“มึงน่ะ.. ความคิดต่ำ
มึงใช้ความรักของกูมาทำแบบนี้กับกูทำไม? เห็นกูเป็นของเล่น
เห็นกูเป็นแค่กะหรี่ที่นอนให้มึงเอาฟรีๆไม่มีหัวใจรึไง? กูเป็นเพื่อนมึง ยอมมึง
ทนมึงทุกอย่าง
แต่การที่มึงเอาเซ็กส์มาผูกมัดกูแบบนี้มึงเหี้ยไปนะ”ฮยอกแจระบายความในใจสีหน้าเศร้า
แววตาวูบไหวน่าสงสาร
ทั้งที่ในใจอยากจะทุบ ตี
ตบร่างตรงหน้าให้รู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับที่ตัวเองโดน แต่ยังไงฮยอกแจก็คือฮยอกแจ
ฮยอกแจก็ยังเป็นคนอ่อนแอเกินกว่าที่จะกล้าทำร้ายร่างสูงตรงหน้า
มือเรียวที่กำแน่นสั่นเทาเพราะก้อนสะอื้นที่ขึ้นมาจุกลำคอ
“มึงน่ะ.. ด่ากูได้แค่คำพูดนั่นแหละ แต่ร่างกายมึง หัวใจมึง
ก็ตอบสนองกูตลอดเวลา มึงเองนั่นแหละที่ผิดเอง ไม่ใช่กู...ที่ผิด”
“เหอะ..”
“ที่มึงเอากูแบบนี้.. มึงเคยรักกูบ้างมั้ยล่ะ”
‘’รัก?”
“.....”
“คำว่ารักน่ะ..กูให้มึงได้เฉพาะเวลามีเซ็กส์ มันก็แค่คำๆนึงที่ช่วยเพิ่มอรรถรสเวลาเอากัน”
‘เพี้ยะ’ฝ่ามือเรียวฟาดเข้าที่ข้างแก้มของร่างสูงจนเกิดเสียงดัง
ฮยอกแจมองหน้า ‘เพื่อนสนิท’ ด้วยสายตาตัดพ้อผิดหวัง
หยดน้ำตาที่กลั้นไว้ตลอดบทสนทนาไหลออกช้าๆโดยที่ร่างเล็กไม่คิดจะเช็ดมันออก
ไร้คำพูดใดๆจากร่างทั้งสอง
คำตอบของน้ำตา...มีเพียงรอยยิ้มเย้ยหยันที่ได้รับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น